24 เมษายน 2552

Que Sera,Sera

When I was just a little boy.
I asked my mother what will I be.
Will I be handsome, will I be rich.
This’s what she said to me.

Que Sera,Sera
What’s ever will be, will be
The future’s not ours to see
Que Sera,Sera
When I was just a novice monk,
I asked my teachers what will I be.
Will I be enlightened, will I be free
This what’s Thay said to me

Que Sera,Sera
What’s ver will be, will be
The Sangha will let you know
Within ten years or so
When I was just a novice nun,
I tried my best to be near Thay
But everybody, did the same thing,
How could I be near to him?

Sit next to me my child,
Every Thursday meal at lunch
Love your brothers and your sisters,
You’re always close to Thay
I’ve been a nun for 5 years now
I ask my teacher where is my lamb?
I’ve tried my best, done every thing
Will I get it this time?

Sit,stand, walk and talk
Do everything in mindfulness
And have a pleasant smile,
The light will shine from there

I’ve been a monk for ten years now
I ask my teacher what should I do?
Should I go out?
Have a temple of my own?
Que Sera,Sera
What’s ever will be, will be
Be a river my child,
Don’t be a drop of water.

“นักบวช ก็ไม่ต่างจากคนทั่วๆ ไป เรายังมีกิเลส ยังมีความยึดติด อยากได้ ไขว่คว้า เมื่อบวชใหม่เราอยากได้ความสงบ อยากบรรลุพระนิพพาน ต่อมาเราอยากใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ อยากให้ท่านรับรู้ อยากเป็นลูกศิษย์คนพิเศษ จากนั้น เราก็อยากได้ตะเกียงธรรม เราอยากได้การยอมรับ ต่อมาเมื่อได้รับตะเกียงธรรม เป็นพระธรรมมาจารย์ เราก็ตั้งคำถามต่อไปว่า แล้วเราควรจะมีวัดเป็นของตนเองไหม ....เราไม่ต่างจากคนทั่วๆ ไปที่เมื่อได้อย่างหนึ่งก็จะไขว่คว้าสิ่งต่อไป โชคดีที่เรามีการฝึกปฏิบัติ ครูของเรา สอนว่า ที่สุดแห่งสายน้ำคือการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทร การล่องไปด้วยกันเป็นสายน้ำมีโอกาสมากกว่าที่จะไปถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร การเป็นหยดน้ำนั้นอาจจะระเหยไปกับไอแดดที่แผดเผา นี่คือความสำคัญการร่วมกันเป็นสังฆะ” Br.Phap Kham

07 เมษายน 2552

เบื้องหลัง Staff ชาวสวนพลัม

ก่อนที่งานภาวนาหมู่บ้านพลัมจะเริ่มต้น เหล่าทีมงานอาสาสมัครทั้งหลายได้รวมตัวกันจัดงานภาวนาสั้นๆเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง..

ในวันที่ ๑๔ - ๑๕ มีนาคม ๕๒ ที่จีรังรีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ คือหนึ่งในงานภาวนาที่ทีมอาสาสมัครได้ร่วมกันจัดขึ้น เราเรียกชื่องานว่าสังฆะรวมมิตร...เชียงใหม่ บรรยากาศโดยคร่าวๆ จะเป็นอย่างไรนั้น ขอเชิญทุกท่านชมได้จากภาพบรรยายเหล่านี้ครับ


หลังจากการเดินภาวนารอบสระน้ำพญานาคในยามเช้า พวกเราได้นั่งนิ่งๆ อยู่รอบสระว่ายน้ำ สัมผัสกับเสียงแห่งความสงบนิ่งของขุนเขา สูดรับความโล่งสบายของอากาศ ดื่มด่ำกับความเย็นสบายของธรรมชาติ น้องเล็กทั้งสองของทีมภาวนาเอานิ้วจุ่มน้ำเย็นใส ...กระโดดน้ำเล่นกันดีไหมเอ่ย?



พี่โก๋ ... หัวหน้าหมู่บ้าน หลับตาสัมผัสอาณาจักรแห่งสันติสุขที่อยู่ภายใน




เหล่าทีมอาสาสมัครผู้แช่มชื่น ... สังเกตรอยยิ้มของสาวน้อยในเสื้อสีชมพูให้ดี ทุกสรรพสิ่งในโลกนั้นตั้งอยู่บนกฎของความไม่แน่นอน (Impermanence)


งานภาวนาในคราวนี้นำทีมโดยหลวงพี่พิทยา ... พวกเราร่วมกันดื่มด่ำรสชาติของอาหารด้วยกายใจที่เป็นหนึ่ง แม้ข้าวเปล่าเพียงคำเดียว รสชาติก็เอร็ดอร่อยไม่ต่างไปจากอาหารทิพย์จากสวรรค์ชั้นดุสิต

สาวน้อยที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มหวานในอดีต บัดนี้ได้นอนแน่นิ่งหมดสภาพหลังจากล้มจากจักรยานเป็นครั้งที่สามในเวลาเพียงชั่วเดือน .... น่าสงสาร อาสาสมัครชาวตะวันตกผู้ใจดีได้ใช้พลังเรกิฟื้นฟูสภาพให้ในเบื้องต้น หลังจากนั้นเหล่าผู้ร่วมภาวนาทั้งหมดจึงได้สวดบทพระอวโรกิเตศวรเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของสาวน้อยผู้น่าสงสารต่อไป... นโม อโร กิเต สวารา....ยา

หมอนวดประจำสังฆะ สังเกตถึงรอยยิ้มและท่าทางอันน่ารักน่าเอ็นดูแต่แฝงไว้ซึ่ง ... ความน่าสะพรึงกลัวของเขาคนนี้เอาไว้ สภาพของหนึ่งในผู้ถูกนวด ... ขาทั้งสองที่กระตุกขึ้นด้วยอาการเกร็งสุดขีด และนิ้วทั้งห้าที่หงิกงออย่างน่าทรมาน ... เราได้เซนเซอร์ใบหน้าและเสียงกรีดร้องของบุคคลผู้น่าสงสารนี้เอาไว้เพื่อให้ผู้ชมไม่เกิดอาการช็อคตามจนอาจเสียสุขภาพจิตได้ .... โอ้ แต่มันโล่งจริงๆ นะ ... คือคำบอกเล่าของผู้ถูกนวดทั้งหลาย หลังจากชั่วขณะแห่งความทุกข์ทรมาน ปิดท้ายด้วยภาพปลดปล่อยของพี่ ต.เต่า หลังจากงานภาวนาได้เสร็จสิ้นลง โฉมหน้าที่แท้จริงของบุคคลผู้ซึ่งเป็นทั้งนักเขียน อาจารย์ และผู้จัดงานอบรม

งานภาวนาในครั้งนี้ก็จบลงด้วยความสุขและรอยยิ้มกันถ้วนหน้าทุกคนครับ

๐๒ ขีดจำกัดของการแปรเปลี่ยน


เกิดความขัดแย้งในใจผมมากในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา รู้สึกถึงความไม่ชัดเจนในหนทางที่กำลังปฏิบัติ ยอมรับว่าเป็นช่วงที่ลำบากมากทีเดียว ผมให้เวลากับตนเองเพราะรู้ว่าความสับสนนี้จะผ่านไป และดีใจที่สับสนเพราะมันหมายความว่าจิตวิญญาณของผมกำลังเติบโตและพร้อมเปิดรับความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้งขึ้น

คำสอนของหมู่บ้านพลัมกล่าวถึงการแปรเปลี่ยนความทุกข์สู่ความสุข ความสงบ และอิสรภาพ ในการปฏิบัติได้กล่าวถึงคลังวิญญาณที่เป็นดั่งฐานของจิตใจ ในคลังนี้ได้เก็บเมล็ดพันธุ์หรือเชื้อของอารมณ์ทั้งหมดที่เราสามารถมีได้ไม่ว่าจะเป็นความเบิกบาน ความสงบ สติ ความรัก ความเมตตา ความสนุก ความพอใจ ดีใจ ฯลฯ หรือความขุ่นเคือง ความโกรธ ความเกลียด อิจฉาริษยา หยิ่งยโส ความอยาก เกียจคร้าน ฯลฯ อารมณ์ทั้งหมดไม่ว่าสุขหรือทุกข์ล้วนถูกเก็บไว้ในคลังวิญญาณนี้ทั้งสิ้น เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมเช่นถูกกระตุ้นให้โกรธหรือถูกชมให้ดีใจ เชื้ออารมณ์ในฐานของใจก็พร้อมที่จะปรากฏขึ้นเสมอ ผมที่ดูเป็นคนร่าเริงในวันนี้หากถูกกระตุ้นให้โกรธขึ้นมาได้จริงๆ ก็อาจคลั่งถึงขนาดฆ่าคนด้วยมือเปล่า หรือผมที่ดูยิ้มแย้มเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุขแต่ถ้าเห็นคนที่เก่งกว่ามากๆ ก็อาจอิจฉาจนตาเขียวได้เช่นกัน คือเมื่อมีเหตุการณ์ที่เร้าอารมณ์ถ้าผมยังมีเชื้อของอารมณ์นั้นอยู่มันก็พร้อมที่จะปรากฏขึ้นเสมอ ความรุนแรงของอารมณ์นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผมมีเชื้ออยู่ในใจมากเพียงใด

คำสอนกล่าวว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะถอดถอนเชื้อของอารมณ์ในฐานของใจเพราะอารมณ์ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของใจเรา เราไม่สามารถตัดมันได้แต่เราสามารถเลือกหล่อเลี้ยง (ในภาษาพลัมเรียกว่ารดน้ำ) อารมณ์สุขและไม่หล่อเลี้ยงอารมณ์ทุกข์ ถ้าเมล็ดพันธุ์แห่งสติของเราแข็งแกร่งเราจะเป็นคนที่มีสติอยู่เสมอ รู้ทันอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจจนอารมณ์ทุกข์ไม่สามารถครอบงำเราได้ ถ้าเมล็ดพันธ์แห่งความทุกข์ของเราเหี่ยวเล็ก เราจะเป็นคนที่ทุกข์ยากและมีความสุขได้ง่ายในทุกสถานการณ์

สติช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงอารมณ์ได้ละเอียดยิ่งขึ้น อารมณ์ที่เราไม่เคยรู้ทันมาก่อนเช่นความน้อยใจ สามารถเติบโตเป็นความขุ่นเคือง ความโกรธ ความเกลียด จนถึงความเคียดแค้นอาฆาตในที่สุด หรือความอยากมีคุณค่า ไม่รู้ทันก็จะกลายเป็นความอยากได้รับการยอมรับ อยากอวด ความอิจฉาริษยา และอารมณ์ที่รุนแรงยิ่งขึ้นต่อไป

เมื่ออารมณ์ลบถูกรู้ทันเราจะไม่ตอบสนองมันด้วยการกระทำ คำพูด หรือคิดวกวนให้อารมณ์นั้นยิ่งกำเริบ หากแต่ใช้พลังแห่งสติโอบกอดมัน คือเพียงเฝ้าดูมันอย่างลึกซึ้งโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่นานความรุนแรงของอารมณ์ก็จะค่อยๆ อ่อนกำลัง เมื่อนั้นเราสามารถเชื้อเชิญอารมณ์ขั้วตรงข้ามขึ้นมาในจิตใจ เช่นเพื่อนคนนี้ทำให้ผมโกรธได้ง่าย ถ้าสติของผมแข็งแกร่ง ตอนที่ผมคุยกับเพื่อนคนนี้ผมรู้ทันความขุ่นเคืองเล็กๆ ในใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนการพูดคุยอาจกลายเป็นการโต้เถียงรุนแรงถึงขั้นแตกหัก แต่ตอนนี้ผมรู้ทันและชิงตัดบทสนทนาเพื่อกลับมาดูแลความขุ่นเคืองในใจ เมื่อมองอย่างลึกซึ้งผมเห็นว่าจริงๆ แล้วผมไม่ได้ขุ่นเคืองเขาหรอก ผมแค่น้อยใจที่เพื่อนคนนี้ไม่เคยรับฟังผมเลย และเหตุของความน้อยใจก็คือผมอยากให้เขาเข้าใจผม อยากให้เขาเห็นว่าผมมีคุณค่า เมื่อมองให้ลึกลงไปอีกผมเริ่มเห็นว่าเพื่อนคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผม เขาก็อยากให้ผมเข้าใจ อยากให้ผมเห็นคุณค่าของเขาเช่นเดียวกัน ตอนนี้ผมได้เชื้อเชิญความกรุณา (เห็นความทุกข์ของผู้อื่นและรู้สึกอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์) ขึ้นมาจนใจผมเกิดเมตตา (อารมณ์รักและเต็มใจที่จะทำให้เขาเป็นสุข) สามารถรับฟังความเห็นของเขาโดยยอมปล่อยวางความเห็นของตน

อารมณ์ทั้งหมดมีศักยภาพในการแปรเปลี่ยนสู่อีกขั้วหนึ่งเสมอ ทุกข์และสุขเป็นเพียงสองด้านของเหรียญเดียวกัน โกรธสามารถกลายเป็นรัก โลภเป็นความใจกว้าง โง่เป็นปัญญาความเข้าใจได้ หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติที่เฉียบขาดรู้ทันอารมณ์ และสามารถแปรเปลี่ยนอารมณ์ทุกข์ทั้งหมดในใจสู่อารมณ์เชิงบวก สู่จิตบริสุทธิ์ที่เปี่ยมด้วยความเบิกบาน ความสงบ ความรัก และความเข้าใจ

เป็นการปฏิบัติที่ชัดเจนแต่ผมรู้สึกว่ายังไม่จบ มีคำพูดหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่เมื่อก่อนผมรู้สึกต่อต้าน คำพูดนั้นคือ “ชีวิตนี้เป็นทุกข์” ผมเคยมีความเห็นว่าชีวิตนี้เป็นทั้งทุกข์และสุข รากศัพท์ของคำว่าทุกข์ในภาษาจีนคือ “ขม” ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า “หวาน” ชีวิตก็เช่นเดียวกันมีทั้งขมและหวาน มีทั้งทุกข์และสุข และเราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ หัวใจสู่ความสุขก็คือการปฏิบัติเพื่อแปรเปลี่ยนพลังลบและหล่อเลี้ยงพลังบวกในจิตใจ เมื่อก่อนผมเคยเข้าใจเช่นนี้แต่บัดนี้ผมเห็นแล้วว่าปัญญานี้ยังไม่สมบูรณ์

คำว่าทุกข์ในภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้สื่อสารไม่ได้แปลว่าขมแต่แปลว่า “สภาพที่ทนอยู่ไม่ได้” จิตใจก็เช่นเดียวกันเป็นสภาพที่ทนอยู่ไม่ได้ ไม่มีทางที่มันจะสุขหรือทุกข์ถาวร วันนี้สุขพรุ่งนี้ทุกข์ ถ้ามีการปฏิบัติก็เป็นสุข ถ้าปฏิบัติไม่เพียงพอก็เป็นทุกข์ ต้องมีความพยายามหล่อเลี้ยงจิตใจนี้ให้เป็นสุขและปราศจากทุกข์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นสิ่งที่ก้าวพ้นจากคำสอนของมหาปราชญ์ทั้งหมดที่เคยถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์ ท่านได้กล่าวว่า “การดับซึ่งความทุกข์โดยสิ้นเชิงถาวรนั้นเป็นไปได้” สภาวะนี้ท่านเรียกว่า “นิพพาน”

หลวงพ่อปราโมทย์เคยกล่าวว่าจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่เพื่อความสุขแต่เป็นการปฏิบัติเพื่อความจริง จริงที่ในขั้นพื้นฐานนั้นเราต้องฝึกให้จิตมีความสุขก่อน ทำจิตที่สับสนให้สงบ จิตที่ทุกข์ให้เป็นสุข และใช้ความสุขนี้เป็นกำลังเพื่อมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปสู่ความเป็นจริงที่ก้าวพ้นทุกข์และสุข อยู่เหนือบาปและบุญที่เป็นขั้วตรงข้ามของกันและกัน ความจริงนี้ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยความคิดแต่เข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติ (มรรค ๘) ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้เพียงเท่านั้น

ที่สุดของการปฏิบัติจึงไม่ใช่เพื่อเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ที่เปี่ยมด้วยความเบิกบาน ความสงบ ความรักและความเข้าใจ มันลึกซึ้งและก้าวพ้นการพัฒนาจิตใจจนถึงความสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่จิตจะเป็นทุกข์หรือสุขโดยถาวร พระพุทธเจ้ากล่าวว่าสภาวะที่เป็นอิสระจากจิตใจนี้มีอยู่จริง และสภาวะนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตใจว่าเป็นเช่นไร เราจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเกิดปัญญา

ปัญญาที่ปลดปล่อยจากพันธนาการของจิตใจ ปัญญาที่ถอนรากถอนโคนความยึดมั่นถือมั่นว่าจิตใจนี้เป็นตัวเราของเรา ผมเติบโตอย่างมหาศาลจากหมู่บ้านพลัมในเวลาเพียงแค่ปีกว่า จิตใจของผมแปรเปลี่ยนจากความมืดสู่แสงสว่างชนิดที่จำกันแทบไม่ได้ เพียงแต่บัดนี้การปฏิบัติของผมไม่ได้เป็นเพียงเพื่อพัฒนาจิตให้เป็นสุขเท่านั้น แต่เป็นการปฏิบัติสู่ความเป็นอิสระจากจิตใจนี้ที่หาความแน่นอนไม่ได้


ธีร์ พลัง
เที่ยงคืนกว่าของวันที่ ๒๖ มีนา ๕๒

25 มีนาคม 2552

peace in oneself, peace in the world




ผมเปิดหนังสือพิมพ์ ฉบับหนึ่งอ่านเช่นเคยทุกวัน วันนั้นก็มีเรื่องราวแย่ๆปรากฏอยู่บนข่าวหน้าหนึ่งเหมือนทุกๆวัน ความรู้สึกหวั่นไหวของผมกอปรกับข้อมูลสะสมของเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้นบนโลกโดยเฉพาะในช่วงทศวรรษหลังๆที่ผ่านมาพลันทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจในวันนั้นว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเยียวยาโลกที่กำลังป่วยใบนี้ได้ คำถามนั้นคั่งค้างอยู่ในใจเป็นแรมสัปดาห์


เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร วลีนี้คุ้นหูผมดี แต่ความลุ่มลึกในความเข้าใจย่อมแตกต่างไปตามกาลเวลา ยิ่งเราสามารถมองโลกในลักษณะองค์รวมไม่แบ่งแยกมากเท่าไร สัจธรรมความจริงข้อนี้เห็นจะมีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ไม่มีอะไรอยู่แยกโดดเดี่ยวจากสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ เราก็ไม่สามารถแยกขาดจากสิ่งแวดล้อมของเราได้

ตัวอย่างเหตุการณ์ในทำนอง “ผีเสื้อขยับปีกสะเทือนถึงดวงดาว” น่าจะทำให้เห็นภาพความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกันได้ชัดเจนขึ้น เราทะเลาะกับเพื่อนของเรา เราได้นำอารมณ์ในเชิงลบกลับมาที่บ้าน คนที่บ้านเราได้รับผลกระทบไปไม่มากก็น้อย จากนั้นแต่ละคนก็ไปกระทบคนหรือสิ่งอื่นๆต่อไปอย่างไม่มีสิ้นสุดวัฏจักร วัฏจักรแห่งเวรหรืออารมณ์ในเชิงลบในแง่นี้ ย่อมจบลงได้เมื่อเราไม่ส่งต่อเวรนั้นๆต่อไป

ความจริงในแง่มุมนี้หากได้ลองมองอย่างลึกซึ้งแล้ว เราจะพบว่าท้ายที่สุดเรื่องราวที่แย่ๆที่เราได้พบตามข่าวหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งหรือแม้กระทั่งสงคราม ใช่หรือไม่ว่าการสั่งสมอารมณ์ในเชิงลบในลักษณะนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุมูลฐาน

กระนั้นแม้อารมณ์เชิงลบหรือความขัดแย้งในกลุ่มสังคมย่อยจะสะท้อนให้ผมเห็นสงครามและความเกลียดชัง ความหวังก็ยังไม่ได้สิ้นสลายไปซะทีเดียว ในแง่กลับกันความมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆหรืออารมณ์ในเชิงบวกที่เราพบได้ในชีวิตประจำวัน ก็สะท้อนถึงพลังแห่งความดีและความรักอันปราศจากเงื่อนไข ผมยังคงเชื่อว่าลึกๆแล้วสังคมมนุษย์ยังไม่หมดสิ้นซึ่งความหวัง ธารน้ำใจจากทุกเชื้อชาติคราวภัยพิบัติสึนามิตอกย้ำความเชื่อของผมในส่วนนี้


ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่าจะเยียวยาโลกใบนี้ได้อย่างไร แต่มุมมองแห่ง interbeing ได้ใบ้แนวทางแห่งการฝึกตนระดับปัจเจกซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถลงมือทำได้ทันทีในทุกขณะ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรผมอาจจะวัดผลไม่ได้แน่ชัด แต่ ณ ตอนนี้ผมก็เชื่อมั่นว่ามันมากกว่าเท่าที่สัมผัสได้ด้วยตา

ศานติในเรือนใจ สันติสุขในสังคม


จิตตศานติ
๘ ธ.ค. ๒๕๕๑



Peace in oneself, peace in the world

1
I read a newspaper on the other day as usual. There are also bad stories on the front page like the other days. My sensitive feeling together with the past information I have collected about unpleasant things happening in our planet especially in recent decades cause the question in my mind to arise: how can I help this injurious world? The question had been in my mind for weeks.

2
“Revenge could be ended by non-revenge*” This phase does sound familiar to me, but my understanding surely differs from time to time. The more we can see the world holistically without discrimination, the clearer this truth is. All beings are the cause and effect of one another; nothing is independent from the rest. No matter we like it or not, we cannot separate ourselves from our surroundings.

Some example of the events like “Butterfly effect**” may make the aspect of interrelatedness clearer. We fight with our friends and take the negative emotions home. Our families get some effect more or less, then each of them passes on to others endlessly in the cycle. The cycle of hatred or the negative emotions can be ended when we do not pass them on.

If the fact in this perspective has been contemplated deeply, we will see that all the terrible news in newspapers either it is conflict or war; isn’t the collection of negative emotions one of the root cause?

Though the unwholesome emotions or conflicts in communities reflect me the war and hatred, hope is not yet gone. On the other hand, little kindness or positive emotions that we see in our daily life also reflect the goodness and unconditional love. I still believe that human society is not desperate. The stream of helps from every nation during the time of Tsunami disaster confirms my belief.

3
Even though I have no obvious answer of how I can help this world, but the view point of “interbeing” hints me the way of individual transformative practice which can be done right away. No matter how the result will be, I may not be able to evaluate clearly. But now I believe that it is more than what eyes can see.

Peace in oneself, peace in the world

Jittashanti
8 Dec 2008


*Traditional Thai-Buddhist saying
**The phrase refers to the idea that a butterfly's wings might create tiny changes in the atmosphere that may ultimately alter the path of a tornado or delay, accelerate or even prevent the occurrence of a tornado in a certain location (wikipedia)

05 มีนาคม 2552

ภาพยนตร์เอมใจ

“สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แม้ขณะนั้นยังไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้ แต่ที่รู้แน่ๆคือ มันเป็นความรู้สึกในเชิงบวก และ มันล้นปรี่เสียเหลือเกิน”……………………..

เชื่อว่าหลายๆคนคงจะรู้จักมักคุ้นหรือบางคนอาจจะเข้าไปทำความรู้จักกับหนังเรื่องที่ฉันกำลังจะพูดถึงมาแล้ว ไม่ใช่หนังนอกกระแสที่ไหน แต่เป็นหนังที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในปีนี้และกวาดรางวัลมาได้น้อยกว่าที่หลายๆคนคาดหวังเอาไว้ ถูกแล้วล่ะ ฉันกำลังจะพูดถึงหนังเรื่อง “The Curious Case of Benjamin Button” สำหรับคนที่รู้จักหนังเรื่องนี้เพียงผ่านๆ ขอเล่าพลอตเรื่องอย่างย่อว่า หนังเล่าถึงชีวิตของคุณ Benjamin Button ซึ่งเกิดมาในหุ่นทารกแต่มีสภาพร่างกายและหน้าตาเปรียบประดุจชายแก่อายุ 80 ปี สิ่งที่ประหลาด คือ คุณ Benjamin คนนี้ ยิ่งโตยิ่งหนุ่มขึ้น เพราะฉะนั้นตอนเค้าอายุ 5 ขวบ หน้าตาและสภาพร่างกายจะเหมือนคนแก่อายุ 80 แต่สมมติเค้าอายุ 40 ปี หน้าตาและสภาพร่างกายจะเหมือนคนหนุ่มอายุ 20 กว่าๆ

ฉันได้ไปดูหนังเรื่องนี้มาเมื่อคืน การดำเนินเรื่องนั้นเหมือนกับเรากำลังดูชีวิตของคนๆนึงอยู่ ช่วงครึ่งแรกของหนังฉันรู้สึกว่า “ทำไมเรื่องมันถึงได้เรื่อยๆ ขนาดนี้นะ” แต่เมื่อดูไปแบบเรื่อยๆนี่แหละ ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สร้างผลกระทบต่อความรู้สึกของฉันเหลือเกิน น้ำตาเริ่มปริ่มขอบตาในหลายๆช็อตโดยไม่ได้ตั้งตัว หลังจากดูหนังจบฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แม้ขณะนั้นยังไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้ แต่ที่รู้แน่ๆคือ มันเป็นความรู้สึกในเชิงบวก และ มันล้นปรี่เสียเหลือเกิน

เมื่อกลับถึงบ้านความรู้สึกนี้ผลักดันให้ต้องระบายอะไรบางอย่างข้างในออกมา ฉันเปิดคอมพ์และพิมพ์สิ่งที่รู้สึกตอนนั้นออกมา ณ เวลานั้นฉันระบายมันออกมาเป็นภาษาอังกฤษ มันพรั่งพรู (แทบไม่ได้คิด)ออกมาเองประมาณ 2 ย่อหน้า แล้วฉันก็หยุด เพราะเมื่อต้องอธิบายความรู้สึกที่ยังไม่ชัดเจนออกมาเป็นภาษาอังกฤษมันค่อนข้างจะยากและไม่ต่อเนื่อง

แต่วันนี้....ที่กำลังนั่งพิมพ์บทความนี้อยู่ ฉัน.........ตกตะกอนเรียบร้อยแล้ว
รู้แล้วว่าความรู้สึกที่ล้นปรี่นั้น คือ ความรู้สึก บวกกับ พลังที่อยากจะใช้ชีวิตที่มีอยู่อย่างลึกซึ้งและมีคุณค่าในทุกขณะ

แล้วหนังเรื่องนี้ ให้อะไรกับฉัน?
คำตอบ คือ หนังเรื่องนี้พาฉันเข้าไปสัมผัสถึง ความไม่แน่นอนของชีวิต (Impermanence)พาฉันเข้าไปสัมผัสถึงพลังแห่งความรัก (Love) และความเมตตากรุณา (Compassion) ในขณะที่ตัวเอกของเรื่อง คือ คุณ Benjamin มีสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามกับมนุษย์ทั่วไป แต่เค้ายังมี แม่บุญธรรม เพื่อนและเจ้านายที่ให้มิตรภาพดีๆ และผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเค้าอยู่เสมอ ความผิดปกติของเค้าไม่ได้เป็นอุปสรรคในการสร้างความสัมพันธ์ดีๆกับผู้อื่นเลย หนำซ้ำ Benjamin ยังยอมรับในสภาพที่เป็นอยู่อย่างเข้มแข็งและเข้าใจชีวิตเป็นอย่างดี ผู้คนรอบข้างเขาต่างก็เข้าใจและยอมรับในความไม่แน่นอนนี้ ต่างอุ้มชูกันและกันด้วยความรักความเมตตาเสมอมา แม้ว่าความไม่แน่นอนทั้งของ Benjamin เอง และของคนข้างจะรุนแรงเกินประมาณในบางครั้ง จุดที่น่าสังเกตคือ เกือบทุกคนในเรื่องไม่ได้มองว่า Benjamin ผิดปกติอะไร

ฉันกลับมาถามตัวเองว่า “ถ้าความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบนี้เกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราจะใช้ชีวิตในแบบไหน เราจะมีรักที่แท้และความเมตตาที่งดงามเหมือน Benjamin และผู้คนรอบข้างของเขาหรือไม่”
ฉันกลับมาตั้งคำถามว่า “คนที่ฉันรู้สึกรักในตอนนี้ หากวันหนึ่งแขกคนที่ชื่อว่า Impermanence แวะมาเยี่ยม ฉันยังจะรักและเมตตาเขาหรือไม่” ตั้งคำถามว่า “หากวันหนึ่งสภาพร่างกายของฉันไม่เหมือนที่ฉันอยากให้เป็น ฉันจะรักและภูมิใจในตัวเองอีกต่อไปหรือไม่ ”
“แล้วทุกวันนี้ ความรักความเมตตาที่ฉันคิดว่าได้มอบให้กับใครๆหรือให้กับตัวเองนั้น เป็นความรักความเมตตาที่แท้จริงหรือไม่”

แม้ความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงจะยังมาไม่ถึง แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ฉันเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นว่า “แม้นาทีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น แต่ใจที่เปิดกว้าง ใจที่คิดดี การทำตัวเป็นเพื่อนกับความไม่แน่นอนของชีวิต การยอมรับและให้ความอ่อนโยนกับสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นเป็นพลังมหัศจรรย์ที่จะทำให้เราหยัดยืนได้อย่างเป็นสุขและสง่างาม”

Benjamin ไม่เคยตัดพ้อถึงสภาพผิดปกติของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
Daisy คนรักของเค้าไม่เคยมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าสภาพของ Benjamin นั้นผิดปกติ ทั้งต่อหน้าและลับหลังเค้า เธอไม่ต้องแอบซ่อนความรู้สึกอะไร เพราะหัวใจเธอมีพื้นที่มากมาย
Queany แม่บุญธรรมของ Benjamin รักเค้าตั้งแต่แรกพบ และรักเสมอมา ฉันรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันทุกครั้งเวลาที่ Queany เรียก Benjamin ว่า “My baby”

หากเรารักและเห็นคุณค่าของตัวเอง มีสติในทุกขณะ ให้พื้นที่และความรักความเมตตาต่อคนรอบข้าง
ฉันคิดว่า “นี่อาจจะเป็นความสุขที่แท้จริงของการได้ใช้ชีวิต”

อิ่มเอมเกินประมาณ
จิตราฐิติวรดา

เขียนที่บ้าน
เมื่อ วันจันทร์ที่ 2 มี.ค. เวลา 23.55 น.

๐๑ อิสรภาพ


อิสรภาพเป็นสิ่งวิเศษแต่มีใครรู้บ้างว่าอิสรภาพที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร ผมลองใคร่ครวญจินตนาการถึงอิสรภาพนี้มานานแสนนานแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ สำหรับคุณคิดว่าอิสรภาพที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร? หากคุณมีตะเกียงวิเศษอยู่ในมือที่สามารถเสกทุกสิ่งให้เป็นจริงได้ คุณจะปรารถนาสิ่งใด?

ผมลองนึกย้อนวิถีแทนการนึกถึงอิสรภาพโดยมองให้ลึกลงไปว่าสิ่งใดกันที่ช่วงชิงเอาอิสรภาพจากผมไป ถ้าไม่มีสิ่งที่พันธนาการอิสรภาพของผมแล้วผมจะเป็นอย่างไร?

มองเข้าไปลึกๆ ในหัวใจผมพบกับความอ้างว้าง มีความปรารถนาในห้วงลึกที่ต้องการคุณค่า คุณค่าในการมีชีวิตอยู่ ตลอดทั้งชีวิตอาจกล่าวได้ว่าเราต่างดิ้นรนแสวงหาคุณค่านี้ ในวัยเด็กต้องเรียนหนังสือให้ดีถึงจะเป็นเด็กดีมีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าเราคงเป็นที่รัก ถ้าเป็นที่รักเราคงมีความสุข เราต้องจบมหาวิทยาลัยสูงๆ ได้ปริญญาตรี โท เอก เพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับของสังคมและมีความสุข เมื่อได้มาแล้วใจที่แสนอ้างว้างก็แสวงหาต่อไป หากเรามีการงานที่มั่นคงเราคงมีความสุข แค่เรียนให้จบและมีการงานที่มั่นคงนี้ก็เป็นการดิ้นรนแสนสาหัสสำหรับมนุษย์แล้ว เพราะน้อยคนนักที่จะได้มาทั้งการศึกษาที่ดีและงานที่มั่นคง พ้นจากชีวิตที่ต้องดิ้นรน คิดว่าได้มาทั้งสองสิ่งแล้วเราคงจะมีความสุขมีชีวิตที่มีคุณค่า แต่ก็อีก หากมีชีวิตที่สมบูรณ์แต่ไร้ซึ่งคนรู้ใจ ไร้ซึ่งครอบครัวที่อบอุ่น ชีวิตนี้จะมีความหมายใด แสวงหาคนรักแต่ก็มีเพียงคนส่วนน้อยชนิดว่าหนึ่งในพันในหมื่นที่จะได้พบคู่บุญคู่วาสนาที่รักกันและกันอย่างบริสุทธิ์แท้จริง

น้อยคนนักในโลกนี้ที่จะได้มาทั้งครอบครัวที่อบอุ่น คู่รักที่หวานชื่น และการงานที่มั่นคงมีความหมาย แค่การพากเพียรดิ้นรนเพื่อให้ได้มาทั้งสามสิ่งนี้ก็เป็นดั่งมหากาพย์แห่งชีวิต มีผู้คนเพียงหยิบมือจากทั่วทั้งโลกาที่ชนะมหาสงครามนี้ได้ แต่จุดหมายนี้ใช่แล้วหรือซึ่งจุดสูงสุด?

มีคู่รักแล้วก็คงอยากมีลูก และการที่จะให้ลูกเราได้พบกับความสำเร็จขั้นอัลติมะอย่างที่เราได้มา มหากาพย์เรื่องใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น เราอาจจินตนาการว่าเมื่อถึงวัยแก่มีครอบครัวสมบูรณ์ ลูกหลานประสบความสำเร็จ มีฐานะมั่นคง สุขภาพดีปราศจากโรคภัย เราคงมีความสุข แต่ต่อให้ได้มาซึ่งทั้งหมดนี้แล้วเราจะมีความสุขจริงหรือ? ส่วนใหญ่คงเป็นทุกข์เพราะไม่ได้มันมา และอีกส่วนน้อยก็คงเป็นทุกข์เพราะจะต้องสูญเสียมันไป ไม่ช้าก็เร็ว

การเห็นร่างกายของตนที่ค่อยๆ เสื่อมสลายลงไปพร้อมกับกาลเวลา จำนวนวันเวลาที่เราจะได้อยู่ร่วมกับคนรักที่ค่อยๆ ดับลงไปในทุกวินาที ความตายที่กำลังมาเยือน ความโศกเศร้าอาดูรของการสูญเสียคนรัก สูญเสียความสามารถในการวิ่ง เล่น ท่องเที่ยวเหมือนเมื่อเยาว์วัย โรคร้ายที่เข้ามาเยือนจนบางคนอาจปรารถนาความตาย ถ้าฉันตายฉันคงมีความสุขกว่านี้ ชีวิตนี้ก็เพียงเท่านี้แหละฉันอิ่มเอมแล้ว ชีวิตหน้าคงจะมีความสุขกว่านี้ เรากำลังเดินทางไปสู่โลกที่ดีกว่า

หลายชีวิตเป็นชีวิตที่ลำบากและทุกข์เข็ญ บ้างอาจโชคดีมีชีวิตที่สบายแต่ทุกข์ใจ บ้างก็อาจมีชีวิตที่ลำบากแต่สบายใจ และเพียงหยิบมือที่อาจเป็นทั้งชีวิตที่สบายและสุขใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็จบลงที่ความตาย ไม่ว่าชีวิตนั้นจะสวยสดงดงามหรือทุเรศอนาถา

ชีวิตคืออะไร? ผมคงตอบว่าเป็นการดิ้นรนหาความสุขอย่างไม่มีวันจบสิ้น เราทุกคนถูกผลักดันด้วยเป้าหมายชีวิตไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มันกำหนดทิศทางที่ชีวิตของเราดำเนินไปและมีเป้าหมายเป็นการวิ่งเข้าหาความสุขเสมอ

เป้าหมายชีวิตของคุณคืออะไร? ถามคำถามนี้หลายคนอาจงงงันเพราะแทบนับคนได้ที่จะรู้จักใจของตน แค่คนที่คิดมองเข้าไปในใจก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ไม่ว่าจะรู้เป้าหมายหรือไม่พวกเราทุกคนก็มีเป้าหมายด้วยกันทั้งนั้น เป้าหมายนั้นอาจเป็นการอยู่ไปวันๆ ขอแค่กินอิ่มนอนหลับก็เพียงพอ บางคนอาจทะเยอทะยานขอชีวิตที่หรูหรา มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่าคนทั่วไป หรืออาจมีความฝันที่สวยหรู มีชีวิตเพื่อก้าวเดินตามตำนานชีวิตของตน มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในสังคม

การจะไปถึงเป้าหมายก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความชัดเจนกับมันมากเพียงใด ขึ้นอยู่กับความรัก มั่นคง ศรัทธาที่เรามีต่อมัน เป็นสิ่งที่เราปรารถนาในชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อเป้าหมายยิ่งชัด เราก็จะยิ่งมองเห็นหนทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่เป้าหมายนั้นที่ชัดเจนขึ้นด้วย เมื่อเห็นหนทางแล้วก็ต้องอาศัยวิริยะ เพียรพยายามไม่ย่อท้อ ไม่กลัวความผิดพลาดล้มเหลว ล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ หล่อหลอมกายใจเป็นหนึ่งเดียวกับหนทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกคืนวัน และใช้สติปัญญาทั้งหมดที่เรามีเพื่อเรียนรู้จากความผิดพลาด และพิจารณาหนทางสู่เป้าหมายนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ใครมีสูตรผสมนี้สมบูรณ์ ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องเข้าถึงเป้าหมายที่ต้องการอย่างแน่นอน ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อถึงแล้วจะยังไงต่อ?

เป้าหมายหนึ่งจะถูกทดแทนด้วยเป้าหมายใหม่ๆ เสมอ เป้าที่เราหมายจะไปให้ถึงอยู่เสมอนี้มีใครบ้างที่เคยไปถึงมัน? คนที่สามารถพูดได้ว่าในที่สุดฉันก็ถึงเป้าหมายแล้ว เป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่ดับสิ้นซึ่งความทะยานอยากในการเข้าถึงเป้าหมายอื่นใดทั้งสิ้น คือถึงแล้วจริงๆ ไม่ต้องไปที่ไหนอีก อะไรคือความสุขที่จีรังยั่งยืนตลอดไป ความสุขที่ไม่แปรเปลี่ยน ความสุขที่ไม่สูญสลายและต้องควานหาความสุขใหม่ๆ อยู่ร่ำไป ความสุขที่ดับสิ้นซึ่งความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวง ความสุขที่เป็นอิสรภาพอันแท้จริงที่อยู่เหนือความทะยานอยากของใจ และอยู่เหนือร่างกายที่ต้องเจ็บต้องแก่ต้องตายอย่างไม่รู้จบ

วิถีชีวิตของมนุษย์เราคงไม่ต่างไปจากคุก เป็นวงจรที่วนเวียนอยู่เช่นนี้ร่ำไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น จะวนอย่างเป็นสุขหรือจะวนอย่างเป็นทุกข์ก็วนอยู่ดี โดยมีใจที่ถูกผลักดันด้วยความอยากในการเข้าถึงเป้าหมายใหม่ๆ อยู่เสมอ เป็นการเดินทางไร้จุดหมายอันแสนยาวนาน

เมื่อไม่เห็นทุกข์ก็คงไม่อยากพ้นทุกข์ เมื่อไม่เห็นความทุกข์ที่ไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ หรือความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องสูญเสียสิ่งที่ต้องการไป เราก็คงไม่อยากหาทางไปให้พ้นจากมัน ความทุกข์นี้คือสิ่งกีดขวางอิสรภาพและมันก็มีเคล็ดลับที่น่าประหลาดใจ คือยิ่งเราพบความทุกข์ในชีวิตมากเพียงใดเราก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นด้วย เพราะเราเริ่มเห็นแล้วว่าความความทุกข์อะไรที่ครอบงำชีวิตเราเสมอมา เมื่อเรารู้ทันมันเราจึงจะรู้ต้นตอรากเหตุของมันได้ เมื่อเห็นมันชัดๆ จึงจะรู้ว่าสภาวะที่ไม่มีมันนั้นมีอยู่ และบัดนั้นวิถีปฏิบัติในการถอนรากถอนโคนทุกข์นี้ก็จะปรากฏขึ้นมาเอง

เคล็ดลับนี้อาจฟังเหมือนทฤษฎีที่สวยหรู แน่นอนว่าเคล็ดวิชาทั้งหมดคงเป็นได้แค่ทฤษฎีหากไร้ซึ่งการฝึกฝนปฏิบัติ การเข้าถึงอิสรภาพที่แท้นั้นมีอยู่จริง การปฏิบัติเพื่อถอนรากถอนโคนความทุกข์ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นมีอยู่จริง และคนที่เคยทำได้แล้วก็มีอยู่ และยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้ ทางออกนั้นมีอยู่ คำถามอยู่ที่ว่าเราต้องการไปให้ถึงทางออกนี้จริงหรือเปล่า?


ธีร์ พลัง
๑๐ มีนา ๕๒ ตอนบ่ายกว่าๆ

สังฆะมอ มอ...


โดย พี่ตี๋ - สหรัฐ เจตมโนรมย์